Category

การตลาดยุคใหม่ สร้างแบรนด์ด้วย TikTok และ Reels

สำรวจแนวทางสร้างเนื้อหาบน TikTok และ Reels ที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่น พร้อมการใช้ Influencer และเทคนิควัดผลลัพธ์การตลาดที่ได้ผลจริง

Oct 31, 2024

TikTok และ Reels โอกาสใหม่ที่นักการตลาดควรจับตามอง

การตลาดดิจิทัลเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาสั้นและเข้าถึงง่ายอย่าง TikTok และ Reels ที่ทั้งสองแพลตฟอร์มนี้กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบเสพคอนเทนต์วิดีโอสั้น สนุกสนาน และสร้างสรรค์ สถิติผู้ใช้ของ TikTok และ Reels เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้แบรนด์ต่างๆ เริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TikTok และ Reels ไม่ได้มีดีเพียงแค่เป็นที่แพร่หลายของคอนเทนต์ไวรัล แต่ยังมีความสามารถในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ใช้สูง โดยเฉพาะเมื่อคอนเทนต์นั้นมีความสร้างสรรค์และดึงดูดใจ ทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการเข้าถึงอย่างกว้างขวางผ่านการทำงานร่วมกับ Influencer ที่มีอิทธิพลในหมู่แฟนๆ ด้วยการตลาดผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในเวลาสั้น และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ที่ทันสมัยให้กับแบรนด์ได้ดี

สำหรับนักการตลาดที่ต้องการประสบความสำเร็จบน TikTok และ Reels จำเป็นต้องรู้จักการสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้ชมกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังควรใช้กลยุทธ์การวัดผลที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถปรับปรุงแนวทางการตลาดได้อย่างตรงจุดและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทรนด์ในโลกดิจิทัล


แนวทางสร้างสรรค์เนื้อหาบน TikTok และ Reels ที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่น

การสร้างสรรค์เนื้อหาบน TikTok และ Reels ที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นนั้นเน้นความสดใหม่ เข้าใจง่าย และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชม เนื้อหาควรจะมีความรวดเร็ว ติดตามง่าย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้โดนใจผู้ใช้ที่ชอบเสพคอนเทนต์อย่างรวดเร็วและสนุกไปกับการมีส่วนร่วม การใช้เสียงยอดนิยม ฟิลเตอร์แปลกใหม่ หรือการแสดงที่เป็นธรรมชาติจะช่วยดึงดูดความสนใจได้ดี นี่คือตัวอย่างแนวทางการสร้างเนื้อหาบน TikTok และ Reels ที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. Trendy Challenges: การเข้าร่วมและสร้างชาเลนจ์ที่กำลังเป็นกระแสช่วยให้เนื้อหามีความสดใหม่และได้รับการมีส่วนร่วมจากผู้ชมมากขึ้น การนำเสนอในรูปแบบของการเต้น ประลองไหวพริบ หรือการท้าทายที่สร้างสรรค์จะช่วยให้ผู้ใช้เข้ามาดูและอาจเข้าร่วมได้

  2. Behind-the-Scenes: การนำเสนอเบื้องหลังของกิจกรรมหรือกระบวนการทำงานจะช่วยให้ผู้ชมรู้สึกใกล้ชิดและเข้าใจถึงเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ ผู้ชมมักสนใจความเป็นธรรมชาติและเบื้องหลังที่ไม่เคยเห็น ซึ่งช่วยให้แบรนด์ดูเป็นกันเองมากขึ้น

  3. Storytelling ที่สร้างอารมณ์ร่วม: เนื้อหาแบบเล่าเรื่องที่กระชับและสื่อถึงความรู้สึก สามารถสร้างการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้ผู้ชมติดตามและรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ การเล่าเรื่องอาจเกี่ยวกับเรื่องราวการใช้ผลิตภัณฑ์หรือการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งมักจะทำให้ผู้ชมสนใจและมีอารมณ์ร่วม

  4. การใช้เพลงและเสียงยอดนิยม: การเลือกใช้เสียงหรือเพลงที่เป็นที่นิยมสามารถเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาได้รับความสนใจ เนื่องจากคนมักจำเสียงหรือเพลงเหล่านี้ได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เนื้อหามีโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มผู้ชมมากขึ้นผ่านการติดตามเสียงยอดนิยม

  5. How-to หรือ DIY: การนำเสนอวิธีการทำหรือสอนอะไรสั้นๆ เช่น เคล็ดลับความงาม สูตรอาหาร หรือทักษะใหม่ๆ ที่วัยรุ่นสนใจ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาและกระตุ้นให้ผู้ชมกลับมาติดตามเพื่อรับประโยชน์จากเนื้อหาในอนาคต

  6. มินิซีรีส์: การทำคอนเทนต์เป็นซีรีส์ตอนสั้นๆ ที่ให้ผู้ชมรอติดตามตอนถัดไป เช่น รีวิวสินค้าในแต่ละหมวดหมู่ สรุปเรื่องราวเป็นตอนๆ หรือการทดลองสิ่งใหม่ในรูปแบบต่อเนื่อง จะทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากกลับมาติดตามและเห็นความคืบหน้าไปพร้อมๆ กัน

  7. User-Generated Content (UGC): เชิญชวนให้ผู้ติดตามร่วมสร้างเนื้อหา เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์แล้วถ่ายรีวิว ส่งภาพหรือวิดีโอเพื่อประกวด หรือแบ่งปันประสบการณ์การใช้สินค้าจากมุมมองของผู้ใช้จริง UGC สามารถทำให้แบรนด์ดูใกล้ชิดและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้โดยตรง


การใช้ Influencer ในการเพิ่มการเข้าถึง

การทำงานร่วมกับ Influencer บน TikTok และ Reels เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลัง เนื่องจาก Influencer มีฐานผู้ติดตามที่เชื่อมั่นและติดตามผลงานอย่างสม่ำเสมอ จึงสามารถช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เนื้อหาจาก Influencer ยังมีความเป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงและเชื่อถือได้มากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกและร่วมงานกับ Influencer ที่เหมาะสมกับแบรนด์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งบทบาทและหน้าที่ของ Influencer เพื่อเพิ่มการเข้าถึงนั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น

  1. การเลือกใช้ Micro-Influencer: การใช้ Influencer ที่มีผู้ติดตามขนาดเล็กถึงปานกลาง แต่มีการมีส่วนร่วมสูง มักจะสร้างความน่าเชื่อถือและการตอบสนองที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย การทำงานกับ Micro-Influencer เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความเชื่อมโยงแบบใกล้ชิดและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง

  2. Sponsored Content ที่เป็นธรรมชาติ: การให้ Influencer นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ในแบบที่ดูเป็นธรรมชาติและตรงกับสไตล์ของพวกเขา ช่วยให้เนื้อหามีความน่าสนใจและไม่ดูเป็นการโฆษณาจนเกินไป ผู้ชมจะรู้สึกว่าคำแนะนำมาจากการใช้จริง ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น

  3. การทำแคมเปญแบบ Co-Creation: การให้ Influencer มีส่วนร่วมในการออกแบบคอนเทนต์หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์บางอย่างร่วมกับแบรนด์ ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับเนื้อหา และทำให้ผู้ติดตามรู้สึกว่าแบรนด์นี้มีความยืดหยุ่นและเปิดรับไอเดียใหม่ๆ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับคอนเทนต์ที่ไม่ซ้ำใครและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

  4. Influencer Challenge: การให้ Influencer สร้างชาเลนจ์ที่มีความสร้างสรรค์และเชิญชวนให้ผู้ติดตามเข้าร่วม เช่น การเต้นหรือการแสดงความสามารถพิเศษที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ช่วยให้ผู้ติดตามเกิดการมีส่วนร่วม และสามารถกระจายแบรนด์ไปยังผู้ติดตามใหม่ๆ ผ่านการเข้าร่วมชาเลนจ์อย่างกว้างขวาง

  5. การรีวิวผลิตภัณฑ์แบบจริงใจ: การให้ Influencer รีวิวผลิตภัณฑ์ด้วยประสบการณ์การใช้งานจริง ทั้งข้อดีและข้อเสีย เป็นการแสดงถึงความโปร่งใสที่น่าเชื่อถือ ผู้ติดตามจะมองว่าแบรนด์นี้เปิดเผยและพร้อมพัฒนาปรับปรุง ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค


วิธีการวัดผลลัพธ์และการปรับกลยุทธ์

เพื่อให้การตลาดบน TikTok และ Reels ประสบความสำเร็จ นักการตลาดจำเป็นต้องมีวิธีการวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสามารถนำข้อมูลไปใช้ปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างตรงจุด นี่คือแนวทางการวัดผลลัพธ์และการปรับกลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้

  1. การวัดผลจากการมีส่วนร่วม (Engagement Rate): การวัดค่าการมีส่วนร่วม เช่น ไลก์, คอมเมนต์, แชร์ และการบันทึก เป็นตัวชี้วัดที่ดีว่าผู้ชมสนใจเนื้อหาของคุณมากน้อยเพียงใด Engagement Rate สูงแสดงว่าเนื้อหาของคุณสามารถดึงดูดความสนใจได้ดี และสามารถนำข้อมูลนี้ไปปรับเนื้อหาให้เข้ากับความชอบของผู้ชมในอนาคต

  2. การติดตาม Conversion Rate: การวัดจำนวนผู้ชมที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น การคลิกไปยังเว็บไซต์, การลงทะเบียน หรือการสั่งซื้อสินค้า Conversion Rate จะช่วยให้คุณทราบว่าเนื้อหาสามารถกระตุ้นให้ผู้ชมตัดสินใจได้อย่างไร และควรปรับเนื้อหาให้ชัดเจนและกระตุ้นการตัดสินใจในรูปแบบที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

  3. วิเคราะห์ความถี่ในการเข้าชม (Reach & Frequency): ตรวจสอบจำนวนผู้ที่เห็นเนื้อหาและจำนวนครั้งที่เห็น การมี Reach และ Frequency ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงการกระจายเนื้อหาของแบรนด์และความถี่ที่ควรใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย หากพบว่าเนื้อหามีการเห็นบ่อยเกินไปแต่ไม่มีการตอบสนอง อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือธีมของคอนเทนต์

  4. การสำรวจความคิดเห็นและการฟังเสียงผู้ชม (Social Listening): การตรวจสอบความคิดเห็นและฟีดแบคในคอมเมนต์หรือในโพสต์ที่เกี่ยวข้องเป็นวิธีที่ดีในการเข้าใจความรู้สึกของผู้ชม นอกจากนี้ การใช้ Social Listening Tools ยังช่วยติดตามการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเป็นแนวทางให้คุณสามารถปรับปรุงเนื้อหาให้ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้บริโภคได้มากขึ้น

  5. การทดสอบรูปแบบและกลยุทธ์ใหม่ๆ (A/B Testing): ลองทำ A/B Testing กับเนื้อหาหรือกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน เช่น การใช้ Influencer คนละสไตล์หรือการทำโฆษณาในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อดูว่าแบบใดมีประสิทธิภาพสูงกว่า การทดสอบเชิงทดลองนี้จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของคอนเทนต์และการลงทุนที่คุ้มค่า


แพลตฟอร์ม TikTok และ Reels กำลังเป็นโอกาสสำคัญที่นักการตลาดควรจับตามอง ด้วยลักษณะที่เป็นมิตรกับการสร้างคอนเทนต์สั้นและสนุกสนานซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของวัยรุ่น การสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การทำงานร่วมกับ Influencer เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และการวัดผลลัพธ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การตลาดประสบความสำเร็จ

การตลาดผ่าน TikTok และ Reels ไม่เพียงแต่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังสร้างความผูกพันและความสนใจในระยะยาว หากนักการตลาดสามารถนำเทคนิคที่กล่าวไปใช้ได้อย่างเหมาะสม การเติบโตของแบรนด์ในโลกดิจิทัลก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม

stay in the loop

Subscribe for our latest update.