AI และ IoT แตกต่างกันอย่างไร และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างไร​

มาทำความรู้จักกับ AI กันก่อน​

AI หรือ Artificial Intelligence หมายถึง กลุ่มของเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติ และปรับปรุงประสิทธิภาพของตนเองได้ โดยไม่ต้องมีคำสั่งที่ถูกโปรแกรมล่วงหน้าจากมนุษย์ AI มีลักษณะอยู่ในรูปแบบที่แคบ (Narrow AI) และรูปแบบที่กว้าง (General AI) โดยที่รูปแบบแคบนั้นถูกออกแบบมาเพื่อทำงานในงานหนึ่งๆ เช่น ระบบค้นหาเว็บ และระบบการรู้จำภาพ ในขณะที่รูปแบบแบบที่กว้างถูกพัฒนาเพื่อทำทุกประการเหมือนมนุษย์ สามารถเรียนรู้ทุกภารกิจและทำงานทุกรายละเอียด AI เป็นที่นิยมในการประยุกต์ใช้ในหลายด้านของชีวิต เช่น การแก้ปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูล และในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Internet of Things หรือ IoT

Internet of Things หรือ IoT คือ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ในทุกๆ ประเภทผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการกระทำจากมนุษย์ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันอาจเป็นทั้งเครื่องใช้ในบ้าน รถยนต์ เซ็นเซอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ IoT ทำให้เกิดการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสิ่งต่างๆ และให้ข้อมูลนี้มีประโยชน์ในการจัดการ การตรวจสอบ และการปรับปรุงประสิทธิภาพในหลายด้าน เช่น การจัดการการใช้พลังงาน การติดตามข้อมูลสุขภาพ และการควบคุมอุปกรณ์ที่อยู่ในระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน. IoT มีความสำคัญในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) และการประยุกต์ใช้ในหลายสาขาอุตสาหกรรมและธุรกิจ

ความแตกต่างระหว่าง AI และ IoT​

AI (ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence) และ IoT (Internet of Things) คือเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและธุรกิจในปัจจุบัน แต่มีความแตกต่างในด้านหลายๆ ด้านดังต่อไปนี้

1. ความสามารถของระบบ

   • AI : เน้นการพัฒนาความสามารถในการประมวลผลและการเรียนรู้ของเครื่องจักรหรือโปรแกรมให้มีความฉลาด เพื่อทำงานแบบอัตโนมัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

   • IoT : เน้นการเชื่อมต่อและการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่ต่างกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและทำให้อุปกรณ์ทำงานร่วมกัน

2. ฐานข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูล :

   • AI : ใช้ข้อมูลเพื่อเรียนรู้และวิเคราะห์ เน้นการประมวลผลข้อมูลในลักษณะที่ซับซ้อน

   • IoT : เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน เน้นการสะสมข้อมูลจากสถานการณ์ต่างๆ

3. การใช้งาน

   • AI : สามารถประยุกต์ใช้ในหลายด้าน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพ การจัดการข้อมูล และการวิเคราะห์

   • IoT : มักถูกใช้ในการควบคุมและตรวจสอบสภาพแวดล้อม การติดตามตำแหน่งของวัตถุ หรือในงานอุตสาหกรรม

4. การทำงาน

   • AI : ทำงานโดยการประมวลผลข้อมูล เรียนรู้ และการตัดสินใจโดยอิสระ

   • IoT : ทำงานโดยการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน

โดยทั่วไป AI และ IoT สามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก IoT เพื่อทำนายและประมวลผลสถานการณ์ในเวลาเป็นที่เร็จ

AI และ IoT สามารถทำงานร่วมกันได้​

การทำงานร่วมกันของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ IoT (Internet of Things) เป็นการผสมผสานทักษะและความสามารถของทั้งสองเทคโนโลยีเพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพและมีประโยชน์ในหลายด้าน นี่คือบางวิธีที่ทั้ง AI และ IoT สามารถทำงานร่วมกัน

1. การวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล : AI สามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้เชิงลึกในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์ IoT เพื่อทำนายแนวโน้ม ตรวจจับรูปแบบ หรือการเข้าใจสภาพแวดล้อม

2. การตัดสินใจแบบอัตโนมัติ : AI สามารถใช้การตัดสินใจแบบอัตโนมัติโดยอิสระเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ IoT หรือทำให้ระบบตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

3. การปรับปรุงประสิทธิภาพและความเป็นมาตรฐาน : AI สามารถใช้การเรียนรู้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ IoT ตลอดเวลา หรือใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และปรับตัวเองในการทำงาน

4. ความรู้สึกและการติดตามสถานะ : ระบบ AI สามารถใช้เซ็นเซอร์และข้อมูลจาก IoT เพื่อติดตามสถานะของวัตถุหรือสิ่งแวดล้อม และทำให้ AI มีความรู้สึกต่อสิ่งนั้น

5. ปรับการทำงานของอุปกรณ์ : AI สามารถใช้ข้อมูลจาก IoT เพื่อควบคุมและปรับการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบ

6. ระบบความปลอดภัย : การใช้ AI สามารถช่วยป้องกันและตรวจจับการละเมิดความปลอดภัยในระบบ IoT

7. การจัดการพลังงาน : AI สามารถใช้ข้อมูลจาก IoT เพื่อจัดการและประหยัดพลังงานในระบบ

การทำงานร่วมกันนี้ช่วยให้ระบบ AI และ IoT มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้หรือธุรกิจในลักษณะที่เฉพาะเจาะจงและปรับไปตามความต้องการในขณะที่เปลี่ยนแปลง