Category
ห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Supply Chain 6 แนวทางของ UN Global Compact
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวทางปฏิบัติที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาดที่จะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
Apr 22, 2024
ห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Supply Chain คืออะไร
ห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Supply Chain หมายถึง การจัดการห่วงโซ่อุปทานโดยคำนึงถึงผลกระทบด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
องค์ประกอบหลัก ของห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย
ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) : มุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส (Transparent Supply Chain) : มุ่งเน้นไปที่การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของสินค้า แรงงาน และวิธีปฏิบัติ
ห่วงโซ่อุปทานแบบหมุนเวียน (Circular Supply Chain) : มุ่งเน้นไปที่การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานซ้ำ รีไซเคิล หรือแปรรูปได้

กรอบการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนตามแนวทางของ UN Global Compact
UN Global Compact ได้แนะนำกรอบการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. แสดงความมุ่งมั่น (Commit)
กำหนดวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
จัดทำแนวปฏิบัติหรือจรรยาบรรณการดำเนินธุรกิจของคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) ที่ครอบคลุมประเด็นสังคมและ/หรือสิ่งแวดล้อม
สื่อสารความมุ่งมั่นขององค์กรต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
2. ประเมินผล (Assess)
ระบุและประเมินความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน
วิเคราะห์ผลกระทบขององค์กรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
กำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ชัดเจน
3. ระบุกลยุทธ์ (Strategize)
พัฒนากลยุทธ์เพื่อจัดการกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
กำหนดแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน
กำหนดทรัพยากรและงบประมาณที่จำเป็น
4. ดำเนินการ (Implement)
นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
ติดตามและประเมินผลความคืบหน้า
ปรับปรุงกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการตามความจำเป็น
5. รายงาน (Report)
สื่อสารผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
เปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนขององค์กร
แบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีกับองค์กรอื่นๆ
6. ร่วมมือ (Collaborate)
ร่วมมือกับคู่ค้า ซัพพลายเออร์ ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
สนับสนุนกิจกรรมและโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
แนวทางของ UN Global Compact นี้เป็นเพียงกรอบการทำงานทั่วไป องค์กรสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและธุรกิจของตนเอง

ประโยชน์ที่ได้จากการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain Management) นำมาซึ่งผลประโยชน์มากมายต่อทั้งองค์กร สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนี้:
ด้านเศรษฐกิจ
ลดต้นทุน
การใช้วัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ
การลดการสูญเสีย
การเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง
การลดการพึ่งพาพลังงาน
เพิ่มประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการความเสี่ยง
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า
การเข้าถึงตลาดใหม่
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่
การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ
การเข้าสู่ตลาดใหม่
การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร
ด้านสังคม
สร้างงาน
การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น
การส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรม
การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน
ยกระดับคุณภาพชีวิต
การส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของแรงงาน
การเคารพสิทธิมนุษยชน
การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
ส่งเสริมความยั่งยืนของชุมชน
การสนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชน
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
การปกป้องสิ่งแวดล้อม
ด้านสิ่งแวดล้อม
ลดมลพิษ
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การลดการใช้น้ำ
การลดการใช้พลังงาน
การลดขยะ
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
การใช้วัตถุดิบอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมการรีไซเคิล
การลดการตัดไม้ทำลายป่า
ปกป้องระบบนิเวศ
การลดมลพิษทางน้ำ
การลดมลพิษทางดิน
การส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
โดยสรุป
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวทางปฏิบัติที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาดที่จะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
Latest articles
stay in the loop