Category
Blockchain ทั้ง 4 ประเภท 5 ตัวอย่างการใช้งาน Blockchain
Blockchain มีประโยชน์ต่อคนและธุรกิจในยุคปัจจุบันอย่างหลากหลาย โดยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น การใช้ Blockchain ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และเพิ่มความโปร่งใสในการติดตามสินค้า รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูล ทำให้ธุรกิจสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
May 10, 2024
Blockchain
Blockchain หรือ บล็อกเชน คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology - DLT) เปรียบเสมือนฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ถูกกระจายไปยังเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก แทนที่จะเก็บไว้ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว ข้อมูลใน Blockchain จะถูกจัดเก็บเป็นบล็อกๆ เหมือนสมุดบัญชี โดยแต่ละบล็อกจะประกอบไปด้วยข้อมูลธุรกรรม เวลาที่ทำธุรกรรม และข้อมูลอ้างอิงบล็อกก่อนหน้า

ประเภทของ Blockchain
โดยทั่วไป Blockchain สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. Blockchain แบบเปิดสาธารณะ (Public Blockchain)
เป็นเครือข่ายที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ตัวอย่างที่โด่งดัง เช่น Bitcoin, Ethereum, Litecoin
ข้อดี :
โปร่งใส ตรวจสอบได้
ยากต่อการปลอมแปลง
ใช้งานง่าย
ข้อเสีย :
ความเร็วในการทำธุรกรรมช้า
มีค่าธรรมเนียมสูง
ความเป็นส่วนตัวต่ำ
2. Blockchain แบบปิด (Private Blockchain)
เป็นเครือข่ายที่จำกัดการเข้าถึงเฉพาะบุคคลหรือองค์กรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
ตัวอย่าง เช่น Hyperledger Fabric, IBM Blockchain
ข้อดี:
ความเร็วในการทำธุรกรรมเร็ว
มีค่าธรรมเนียมต่ำ
ความเป็นส่วนตัวสูง
ควบคุมการเข้าถึงได้
ข้อเสีย:
ขาดความโปร่งใส
ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ผู้ควบคุมเครือข่าย
3. Blockchain แบบกลุ่ม (Consortium Blockchain)
เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานระหว่าง Public Blockchain และ Private Blockchain
several organizations manage the network together.
ตัวอย่าง เช่น R3 Corda, Ripple
ข้อดี:
ได้ข้อดีของทั้ง Public Blockchain และ Private Blockchain
เหมาะสำหรับใช้งานภายในองค์กรหรือกลุ่มที่มีสมาชิกจำกัด
ข้อเสีย:
อาจมีความซับซ้อนในการจัดการเครือข่าย
นอกจากนี้ ยังมี Blockchain ประเภทอื่นๆ อีก เช่น
Blockchain แบบไฮบริด (Hybrid Blockchain) : เป็นการผสมผสานคุณสมบัติของ Public Blockchain และ Private Blockchain เข้าด้วยกัน มีความยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ เหมาะสำหรับกรณีการใช้งานที่ต้องการทั้งความโปร่งใสและความเป็นส่วนตัว แต่การออกแบบและจัดการเครือข่ายอาจมีความซับซ้อน
Permissioned Public Blockchain: เป็น Public Blockchain ที่มีการจำกัดการเข้าถึงบางส่วน
Sidechains: เป็น Blockchain แยกต่างหากที่เชื่อมต่อกับ Blockchain หลัก
Interoperable Blockchain: เป็น Blockchain ที่สามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
ประเภทของ Blockchain ที่เหมาะสมกับการใช้งานนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการและบริบทของผู้ใช้งาน

ตัวอย่างการใช้งาน Blockchain
เทคโนโลยี Blockchain มีศักยภาพที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา ตัวอย่างการใช้งานที่โดดเด่นมีดังนี้
1. การเงิน
สกุลเงินดิจิทัล : Blockchain ป็นเทคโนโลยีหลักของสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum, Litecoin ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง
การโอนเงิน : Blockchain สามารถใช้โอนเงินระหว่างบุคคลหรือองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีค่าธรรมเนียมต่ำ
ตลาดหุ้น : Blockchain สามารถใช้สร้างระบบซื้อขายหุ้นแบบกระจายศูนย์ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
สินเชื่อ : Blockchain สามารถใช้สร้างระบบสินเชื่อแบบใหม่ที่ไม่ต้องผ่านตัวกลาง ช่วยให้ผู้กู้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
2. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
การติดตามสินค้า : บล็อกเชนสามารถใช้ติดตามสินค้าตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงผู้บริโภค ช่วยป้องกันปัญหาสินค้าปลอม สินค้าลอกเลียนแบบ และสินค้าหมดอายุ
การจัดการสินค้าคงคลัง : Blockchain สามารถใช้จัดการสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
การชำระเงิน : Blockchain สามารถใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีค่าธรรมเนียมต่ำ
3. ภาคการปกครอง
การลงคะแนนเสียง : Blockchain สามารถใช้จัดการการลงคะแนนเสียงแบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้การลงคะแนนเสียงมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดภัย
การออกเอกสารสำคัญ : Blockchain สามารถใช้ออกเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนรถ โฉนดที่ดิน ช่วยป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร
การเก็บข้อมูลภาษี : Blockchain สามารถใช้เก็บข้อมูลภาษีแบบกระจายศูนย์ ช่วยให้ยากต่อการหลีกเลี่ยงภาษี
4. ภาคการแพทย์
การบันทึกข้อมูลผู้ป่วย : Blockchain สามารถใช้บันทึกข้อมูลผู้ป่วยแบบกระจายศูนย์ ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้ง่าย และแพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิจัยยา : Blockchain สามารถใช้ติดตามการวิจัยยา ช่วยให้พัฒนายาได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานยา: Blockchain สามารถใช้ติดตามยาตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงผู้บริโภค ช่วยป้องกันปัญหายาปลอมและยาหมดอายุ
5. ด้านอื่นๆ เช่น
การจัดการสิทธิ์ : Blockchain สามารถใช้จัดการสิทธิ์ เช่น สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิ์ในการใช้งานเพลง ช่วยป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์
การระดมทุน : Blockchain สามารถใช้ระดมทุนผ่าน ICO (Initial Coin Offering) ช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถระดมทุนได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง
การโหวต : Blockchain สามารถใช้จัดการการโหวตแบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้การโหวตมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดภัย
สรุป
Blockchain มีประโยชน์ต่อคนและธุรกิจในยุคปัจจุบันอย่างหลากหลาย โดยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น การใช้ Blockchain ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และเพิ่มความโปร่งใสในการติดตามสินค้า รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูล ทำให้ธุรกิจสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Latest articles
stay in the loop