วิธีการสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ของคุณด้วย Brand Positioning

คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองมั้ยว่าทำไมลูกค้าถึงต้องเลือกซื้อสินค้า หรือ บริการจากคุณ ในเมื่อคู่แข่งในท้องตลาดก็ขายสินค้าเหล่านั้นเหมือนกัน คำถามต่าง ๆ มากมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในการวิเคราะห์ และ การตัดสินใจเพื่อจะเลือกซื้อสินค้า หรือ บริการซักอย่าง อาจมีได้หลากหลายคำถาม เช่น

• "คุณภาพของสินค้าของเราดีกว่าอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง?"

• "บริการหลังการขายของเรามีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร?"

• "สินค้าหรือบริการของเรามีความคุ้มค่าอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง?"

• "ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเรามีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร?"

คุณสามารถจะตอบคำถามเหล่านั้นให้กับลูกค้าได้ก็ต่อเมื่อคุณทำความเข้าใจว่าจุดยืนของแบรนด์ตัวเองคืออะไร

Brand Positioning คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

Brand Positioning คืออะไร?

Brand Positioning หรือ การวางตำแหน่งแบรนด์ หมายถึง การกำหนดภาพลักษณ์ จุดยืน คุณค่า และความแตกต่างที่แบรนด์ต้องการให้ลูกค้ารับรู้ เปรียบเสมือนการออกแบบพื้นที่ในใจลูกค้าให้แบรนด์ของเรามีที่ยืนที่ชัดเจน แยกออกจากคู่แข่ง

โดยทั่วไป การวางตำแหน่งแบรนด์จะมุ่งเน้นไปที่ 3 องค์ประกอบหลัก คือ

1. คุณค่าที่แบรนด์นำเสนอ: สิ่งที่แบรนด์มอบให้กับลูกค้า

2. กลุ่มเป้าหมาย: ลูกค้าที่แบรนด์ต้องการจะเข้าถึง

3. คู่แข่ง: แบรนด์อื่นๆ ในตลาดที่นำเสนอสินค้าหรือบริการที่คล้ายคลึงกัน

Brand Positioning สำคัญอย่างไร?

Brand Positioning มีความสำคัญต่อธุรกิจ ดังนี้

1. สร้างความแตกต่าง: ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นจากคู่แข่ง ลูกค้าจดจำได้ง่าย

2. สร้างการจดจำ: ช่วยให้ลูกค้าจดจำภาพลักษณ์ คุณค่า และจุดยืนของแบรนด์

3. สร้างความภักดี: ลูกค้าที่เข้าใจและเชื่อใน Brand Positioning จะมีความภักดีต่อแบรนด์

4. กำหนดกลยุทธ์: Brand Positioning เป็นกรอบในการกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ ของแบรนด์ เช่น การสื่อสาร การตลาด การพัฒนาสินค้า ฯลฯ

5. เพิ่มโอกาสในการเติบโต: Brand Positioning ที่ดี ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และขยายธุรกิจได้

3 ขั้นตอนสู่การสร้าง Brand Positioning ที่แข็งแกร่ง

การสร้าง Brand Positioning ที่ดีเปรียบเสมือนการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับแบรนด์ ช่วยให้แบรนด์โดดเด่น จดจำง่าย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น มาดู 3 ขั้นตอนสำคัญที่คุณต้องทำเพื่อสร้าง Brand Positioning ที่แข็งแกร่งดังนี้

1. ขุดลึกลงไปทำความเข้าใจลูกค้าของคุณ

• ใครคือกลุ่มเป้าหมายของคุณ: ลูกค้าของคุณเป็นใคร พวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขามีไลฟ์สไตล์อย่างไร พวกเขามีความต้องการ ปัญหา และความคาดหวังอะไรบ้าง

• ลูกค้าของคุณให้ความสำคัญกับอะไร: ปัจจัยอะไรบ้างที่ลูกค้าของคุณใช้ในการตัดสินใจซื้อ อะไรคือสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุด พวกเขาต้องการอะไรจากสินค้าหรือบริการ

• ลูกค้าของคุณรับรู้แบรนด์ของคุณอย่างไร: ปัจจุบันลูกค้ารับรู้แบรนด์ของคุณอย่างไร พวกเขามีภาพลักษณ์ ความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ อะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของแบรนด์คุณ

2. วิเคราะห์คู่แข่งของคุณ

• ใครคือคู่แข่งหลักของคุณ: ใครคือคู่แข่งโดยตรงและโดยอ้อมของคุณ พวกเขามีสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง พวกเขาแข่งขันกันอย่างไร

• คู่แข่งของคุณวางตำแหน่งแบรนด์อย่างไร: คู่แข่งของคุณกำหนด Brand Positioning ของพวกเขาอย่างไร พวกเขาสื่อสาร Brand Positioning ของพวกเขาอย่างไร พวกเขาสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอื่น ๆ อย่างไร

• ลูกค้าเปรียบเทียบแบรนด์ของคุณกับคู่แข่งอย่างไร: ลูกค้าเปรียบเทียบแบรนด์ของคุณกับคู่แข่งอย่างไร พวกเขาเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และความแตกต่างของแบรนด์คุณอย่างไร

3. กำหนดจุดเด่นและ Brand Positioning ของคุณ

• อะไรคือจุดเด่นที่แท้จริงของคุณ: อะไรคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง อะไรคือจุดแข็ง คุณค่า และประโยชน์ที่ไม่เหมือนใครของคุณ

• Brand Positioning ของคุณคืออะไร: คุณต้องการให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์ของคุณอย่างไร คุณต้องการให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในเรื่องอะไร คุณต้องการให้แบรนด์ของคุณสื่อถึงอารมณ์อะไร

• Brand Positioning ของคุณสื่อสารอะไร: Brand Positioning ของคุณสื่อสารอะไรเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ สื่อสารอะไรเกี่ยวกับคุณค่าที่คุณนำเสนอ สื่อสารอะไรเกี่ยวกับความแตกต่างของคุณ

สรุปคือ

การสร้าง Brand Positioning เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ กลยุทธ์ และความคิดสร้างสรรค์ Brand Positioning ที่ดีจะช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในตลาด สร้างการจดจำ ลูกค้ามีความภักดี และมีโอกาสเติบโตในอนาคต